การเลือกใช้ระบบ Super E-Recruit ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
        เพราะนอกจากจะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานและต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว
        ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเพิ่มผลกำไรให้บริษัทอีกด้วย



            จากตอนที่แล้ว ได้เกริ่นไปถึงผลลัพธ์ที่ทางบริษัทจะได้รับจากระบบ Super E-Recruit ไป 2 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระในการจัดการเรซูเม่ที่เข้ามาเป็นจำนวนมากได้จริง และการวิเคราะห์ผู้สมัครในเชิงลึกได้แม่นยำมากขึ้นนั้น และในตอน Super E-Recruit Program (2) นี้ จะเป็นการพูดถึงผลลัพธ์ที่จะได้รับอีก 3 ข้อค่ะ

        3. ลดเวลาที่ใช้ในขั้นตอนการเลือกสรรบุคลากร
            การนำระบบ Super E-Recruit เข้ามาใช้คัดสรรผู้สมัครนั้น สามารถช่วยลดเวลาที่ใช้ในขั้นตอนการเลือกสรรบุคคลากรได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการที่ช่วยให้ฝ่ายบุคคลวิเคราะห์เรซูเม่ในเชิงลึกได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถลดจำนวนผู้สมัครที่เรียกเข้ามาสัมภาษณ์ได้ เช่น จากที่เมื่อก่อนอาจต้องเรียกผู้สมัครเข้ามาสัมภาษณ์กว่าสิบคน เพื่อที่จะรับเข้ามาเพียงคนเดียว ก็อาจจะลดเหลือเพียง 3 หรือ 4 คนเท่านั้น เป็นการประหยัดเวลาของทั้งทางฝ่ายบุคคลและผู้บริหารได้

            อีกทั้ง ระบบ Super E-Recruit ยังมีนวัตกรรมที่ช่วยฝ่ายบุคคลให้สามารถคัดกรองเรซูเม่ได้อย่างง่ายดาย โดยมีความเป็นวิทยาศาสตร์และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือระบบ Super Resume Score Point ซึ่งจะเป็นการประมวลผลให้คะแนนเรซูเม่แต่ละใบโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์
            หลังจากที่ให้คะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระบบจะทำการเรียงลำดับเรซูเม่ตั้งแต่ใบที่มีคะแนนสูงสุด เรียงลงไปจนถึงคะแนนต่ำสุดโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ฝ่ายบุคคลสามารถเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการเพื่อเรียกสัมภาษณ์ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งคัดเรซูเม่ทีละใบอย่างเมื่อก่อน
            นอกจากนี้ การที่เรซูเม่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ถูกส่งเข้ามาอยู่ในระบบ ในรูปแบบของ Super Resume หรือ Super Attached File ทำให้ฝ่ายบุคคลไม่ต้องเสียเวลามานั่งคีย์ข้อมูลเรซูเม่เข้าไปในระบบซ้ำซ้อนอีก


            ทั้งนี้ ในปัจจุบันการแข่งขันทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรื่องของเวลา ฉะนั้นถ้าหากบริษัทใดสามารถเลือกสรรผู้สมัครได้เร็ว และติดต่อไปเพื่อนัดมาสัมภาษณ์ได้ก่อน ก็หมายถึงว่าบริษัทนั้นมีโอกาสที่จะเข้าถึงและได้ตัวผู้สมัครที่มีคุณภาพเข้ามาร่วมงานกับบริษัทมากขึ้น และมีโอกาสที่จะพัฒนาก้าวหน้ามากกว่าคู่แข่งมากขึ้นเท่านั้น

        4. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
            ประสิทธิภาพของระบบ Super E-Recruit นั้นสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการการคัดบุคคลากรได้มาก ในประเด็นแรกจะเห็นว่าระบบช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการคัดคนเข้าทำงาน ทำให้บริษัทสามารถว่าจ้างพนักงานที่มีคุณภาพเข้ามาเริ่มงานได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งช่วยเพิ่มผลประกอบการของบริษัท


            ตัวอย่างเช่น จากที่บริษัททั่วไปอาจจะใช้เวลาในการสรรหาพนักงานใหม่ประมาณ 60 วัน แต่ประสิทธิภาพของระบบ Super E-Recruit สามารถช่วยให้หาบุคคลากรคุณภาพได้ภายใน 30 วัน ซึ่งหมายความว่าในช่วงเวลา 30 วันที่เพิ่มขึ้นมานั้น พนักงานใหม่นั้นสามารถทำรายได้ให้บริษัทได้เร็วขึ้น และยิ่งถ้าหากรับพนักงานที่มีคุณภาพเข้ามามาก บริษัทก็ยิ่งได้ผลกำไรมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัว
            นอกเหนือจากช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัทได้เร็วมากขึ้นด้วยการลดระยะเวลาที่ใช้ในการคัดคนแล้ว ระบบ Super E-Recruit ยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดการเรซูเม่นอกระบบกว่า 70% ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์สำหรับปรินท์เรซูเม่ออกมาจากอีเมล รวมไปถึงค่าจ้างพนักงานที่รับผิดชอบปรินท์เรซูเม่ คัดเรซูเม่ทีละใบ แล้วคีย์ข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งทั้งหมดนี้รวมแล้วก็ถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองเงินจำนวนไม่น้อย โดยทั้งนี้ ระบบ Super E-Recruit จะเป็นระบบเดียวที่รวบรวมเรซูเม่ไว้ในระบบกว่า 90% ดังนั้นฝ่ายบุคคลจึงสามารถใช้ระบบในการจัดการงานเอกสารได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง


            และท้ายที่สุด การที่ระบบ Super E-Recruit สามารถช่วยในกระบวนการการทำงานของฝ่ายบุคคลได้ครบถ้วนทุกขั้นตอน จึงทำให้สามารถลดจำนวนบุคคลากรที่ทำงานในแผนกลงได้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงประสิทธิภาพของระบบในจุดนี้ก็คือธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นลูกค้าที่ใช้ระบบ Super E-Recruit อยู่
            ก่อนหน้าที่จะมาใช้ระบบ Super E-Recruit ธนาคารออมสินใช้คนถึง 14 คนในการทำงานฝ่ายบุคคลทั้งหมด แต่ในปัจจุบัน ทางธนาคารมีพนักงานประจำที่รับผิดชอบ 1 คน และลูกจ้างชั่วคราวอีกเพียง 1 คนเท่านั้นในการจัดการกระบวนการการคัดคนทั้งหมด ซึ่งถ้าหากลองคิดเป็นตัวเลขแล้ว สมมติว่าพนักงาน 1 คนรับเงินเดือนประมาณ 20,000 บาท นั่นหมายความว่า หากลดคนลงไปได้ 12 คน บริษัทจะสามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้ 240,000 บาทต่อเดือน หรือ 2,880,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว


            จากที่กล่าวมา จะเห็นว่าการใช้ระบบถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่นๆ แล้ว ระบบ Super E-Recruit ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงใดๆ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการการคัดคน และยังได้พนักงานคุณภาพมาช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัทได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย
        5. การบริการของระบบแตกต่างจากระบบ E-Recruit อื่นๆ
            โดยหลักการแล้ว ระบบ Super E-Recruit เป็น Software as a Service (SaaS) ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ หลักการของระบบ Super E-Recruit นั้นก็คือเป็นการลงทุนที่ต่ำ ไม่เสียค่าบำรุงรักษาใดๆ หรือหากต้องการเพิ่มเติมฟังก์ชั่นการทำงานอื่นๆ ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งระบบยังเอื้อต่อการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับแนวทางการทำงาน หรือองค์ความรู้ของฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง


            ต่างกับระบบอื่นๆ ที่ขายขาด ซึ่งระบบเหล่านั้น นอกจากจะมีค่าใช้จ่ายและค่าบำรุงรักษาระบบสูงมากแล้ว ยังปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของฝ่ายบุคคลได้ยาก ทำให้พบว่าหลายบริษัทไม่ได้ใช้ระบบ E-Recruit ที่ซื้อมาอย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าไหร่นัก

            ทั้งหมด 5 ข้อที่กล่าวมาก็คือผลที่คุณจะได้รับอย่างแน่นอนเมื่อใช้ระบบ Super E-Recruit มาช่วยในการทำงาน ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพของระบบจะช่วยลดระยะเวลาในการคัดคนและช่วยให้ได้คนที่ตรงกับความต้องการแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มผลกำไรให้กับบริษัท ถือว่าเป็นการลงทุนซื้อระบบที่คุ้มค่าสำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคล

 

 
อ่านบทความย้อนหลัง คลิกที่นี่