หากในเรซูเม่มีข้อมูลประสบการณ์การทำงานที่ครบถ้วน
รวมถึงมีข้อมูลที่บอกถึงความต้องการของผู้สมัครแต่ละคน
HR ก็จะสามารถเลือกคนได้ตรงและอยู่กับองค์กรได้นาน


   
 
          ทุกบริษัทย่อมต้องอยากรับคนเก่งมีความสามารถเข้ามาร่วมงานอยู่แล้ว และเมื่อได้คนเก่ง
เข้ามาทำงาน ปัญหาถัดไปก็คือจะดูแลอย่างไรให้คนเหล่านั้นอยู่กับบริษัทไปอีกนานๆ
          โดยปกติ กว่าที่ฝ่ายบุคคลจะรวบรวมข้อมูลได้เพียงพอ เพื่อนำมาอ่านให้ได้คนตรงและเหมาะกับ
บริษัท ก็อาจจะต้องรอไปจนถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์ หรือบางครั้งก็อาจจะตีความสิ่งที่ผู้สมัครพูดไม่ถูก
ต้อง ก็ทำให้เกิดการหลงประเด็นได้ คงจะดีไม่น้อย ถ้าสามารถอ่านตัวตนของผู้สมัครได้ทันที ผ่านทาง
ข้อมูลที่ให้ไว้ในตัวเรซูเม่ เพราะจะช่วยให้การกรองคนละเอียดขึ้น ทำให้ประหยัดทรัพยากรและเพิ่ม
ความแม่นยำในขั้นตอนการเรียกสัมภาษณ์ด้วย
          ส่วน work experience ในตัว Super Resume ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับฝ่ายทรัพยากรบุคคล
เพราะให้ข้อมูลสำคัญๆ มากกว่าเรซูเม่ฟอร์แม็ตอื่น ดังที่คุณวิเชียรได้กล่าวไว้ในการสัมมนา การคัดคน
ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ ครั้งที่ 7
 
 

          “ในเรซูเม่แบบอื่น ส่วนมากจะไม่ได้บอกเอาไว้ว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร” คุณวิเชียรกล่าว
“แล้วแค่ชื่อบริษัทบางทีก็บอกไม่ได้หรอกครับว่าเป็นธุรกิจอะไร แต่ใน Super Resume เนี่ย บังคับไว้ให้
กรอกเลย ว่าบริษัทคุณทำอะไร แล้วมีจำนวนพนักงานทั้งหมดกี่คน จากข้อมูลแค่ตรงนี้ HR ก็ได้รู้แล้ว
ว่าบริษัทเก่าที่เขาเคยทำมามีระบบการทำงานอย่างไร เช่นถ้ามีกันแค่ 10 คน ก็อาจจะมองได้ว่าระบบการ
ทำงานของคนนี้อาจจะไม่แข็งไม่แน่นเท่ากับคนที่ทำอยู่ในบริษัทใหญ่ๆ ที่มีคนเป็นร้อย เป็นพันคน ซึ่งคน
ทำงานบริษัทใหญ่ๆ มีลูกน้องเยอะ เขาก็จะมีทักษะในการคุม บริหารคนมากกว่า”
          นอกจากนี้ เรื่องของเงินเดือนและชื่อตำแหน่งก็เป็นข้อมูลสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้ เพราะเป็น
ตัวบ่งชี้ให้ทราบว่าผู้สมัครคนใดมีการเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
          “นอกจากนี้ก็ยังมีข้อมูลอีกส่วนที่สำคัญ คือ เงินเดือนและตำแหน่งเริ่มต้น – ล่าสุด ซึ่งเป็นข้อมูล
ที่จะช่วยให้เราอ่าน talent คนได้เห็นชัดเจนมาก เราเห็นได้ทันทีว่าคนคนนี้โตมาจากการเปลี่ยนงาน
เปลี่ยนบริษัทบ่อยๆ หรือเปล่า หรือว่าเขาโตขึ้นมาได้ด้วยความสามารถตัวเองล้วนๆ หรือไม่เติบโตเลย
          “อย่างจะเห็นว่าบางคนทำงานมากี่ปีก็ไม่มีการปรับขึ้นเงินเดือน หรืออาจจะมีน้อยมาก ก็อาจจะ
ทำให้ HR ได้ตั้งคำถามไว้ก่อน ว่ามีตรงจุดอ่อนไหนที่ต้องดูเป็นพิเศษหรือเปล่า หรืออีกคนก็อาจจะโต
เหมือนกัน แต่มาจากการเปลี่ยนบริษัท เปลี่ยนงานบ่อยๆ อย่างนี้ทัศนคติต่อการทำงานของเขาจะเป็น
อย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเทียบกับคนที่ เติบโตขึ้นมาได้ด้วยตัวเองในบริษัทเดิม ผมบอกได้เลยว่าคน
หลังสุดนี้แน่นอนกว่ากันเยอะ”
          ทั้งนี้ เมื่อฝ่ายบุคคลอ่านข้อมูลประสบการณ์การทำงาน และได้คนที่มีพื้นฐานและประสบการณ์
การทำงานตามที่บริษัทต้องการแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญก็คือ ความต้องการของผู้สมัครเอง
          “การจะรับคนสักคนเข้ามาทำงานและอยู่กับบริษัทได้นาน เราไม่ได้ดูแค่ว่าเราต้องการอะไรจาก
เขา แต่ต้องดูว่าเขาต้องการอะไรด้วย” คุณวิเชียรกล่าว “ถ้าเรามัวแต่ดูสิ่งที่บริษัทต้องการอย่างเดียว
โดยไม่คำนึงถึงผู้สมัครเลย สุดท้ายแล้วเขาอยู่ไม่ได้ ก็ต้องลาออก
          “ถ้าผู้สมัครต้องการเงินเดือน 20,000 แต่คุณให้เขาได้แค่ 15,000 หรือเขาต้องการทำงาน
marketing แต่คุณไปให้เขาทำงาน admin ถึงแม้คุณจะรับเข้ามาทำงานแล้ว แต่อีกสักพักเขาหาที่อื่นที่
ให้ได้ถึง 20,000 หรือมีงาน marketing ให้ทำ สุดท้ายเขาก็ต้องออกไปแสวงหาสิ่งที่ต้องการอยู่ดี”
          ในส่วนนี้ Super Resume ได้เข้ามามีส่วนช่วยแก้ไขปัญหา เพราะมีข้อมูลส่วน target job ซึ่งระบุ
ความต้องการต่างๆ ของผู้สมัคร ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนที่ต้องการ สายงานที่ต้องการ หรือแม้แต่ในเรื่อง
ของการเดินทาง / การย้ายที่ทำงาน
          “ลองใส่ใจให้ความสำคัญข้อมูลพวกนี้ดู อ่านข้อมูลให้เห็นว่าผู้สมัครต้องการหรือไม่ต้องการอะไร
อย่างน้อยๆ เราคำนึงถึงความต้องการผู้สมัครบ้าง นอกเหนือจากความต้องการของบริษัทเอง เราก็จะได้
คนเก่งที่จะอยู่กับบริษัทไปอีกนาน”



คุณวิเชียร ชนาเทพาพร เป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเว็บไซต์หางาน jobtopgun.com และ superresume.com